เทศน์เช้า วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา เพื่อหัวใจของเรานะ หัวใจของเราอยู่ในร่างกายของเรา แต่เราควบคุมมันไม่ได้ มันไม่เชื่อฟังเราเลย มันดื้อ พอมันดื้อขึ้นมา ธรรมโอสถๆ สิ่งที่ธรรมโอสถ ถ้ามันสมานเข้ากับความพอใจของเราได้ มันจะทำใจของเราให้สงบระงับบ้าง จิตใจของเรานี่นะ มันต้องมีธรรมโอสถ ธรรมโอสถนะ ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งนี้เราแสวงหา เราแสวงหาเพื่อหัวใจนะ การที่แสวงหามาเพื่อหัวใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ประเสริฐ วางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ให้ชาวพุทธเราให้ศรัทธาไทยๆ แสวงหาบุญกุศลของตน การแสวงหาบุญกุศลของตนด้วยเจตนา ด้วยเจตนา เรามาวัดมาวาขึ้นมา เรามาเสียสละทานของเราๆ การเสียสละทานของเรา สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราแสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรานะ ด้วยน้ำพักน้ำแรงมันก็เป็นสมบัติของเราไง ถ้าเป็นสมบัติของเรา
เรามาทำบุญกุศลๆ ด้วยเจตนาของเราๆ มันไปเปิดหน้าต่างของหัวใจไง มันไปเปิดประตูหัวใจไง เปิดประตูหัวใจให้มันได้มีอากาศถ่ายเท ถ้ามีอากาศถ่ายเทขึ้นมา ถ้ามาวัดมาวาขึ้นมา ถ้ามาเจอครูบาอาจารย์ที่ดี เราได้ฟังธรรมๆ ของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจนี้
ถ้าหัวใจนี้ เวลาทางโลกๆ เขา ทางโลกเขาเวลาจะประกอบสัมมาอาชีวะ เขาต้องหาตลาดของเขา เขาต้องหาทำเลของเขา ใครได้ทำเลที่ดี เขาจะประกอบสัมมาอาชีวะของเขาได้ประสบความสำเร็จของเขา ประสบความสำเร็จของเขา เขาก็มีความทุกข์ในหัวใจด้วยการรักษาของเขา
คนที่ประกอบสัมมาอาชีวะของเขาจะขาดแคลนสิ่งใด จะขาดตกบกพร่องขึ้นมา สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง เราก็ขวนขวายของเราๆ เพื่อให้มันประสบความสำเร็จ ให้มันพอใจของเรา ถ้ามันพอใจของเรา
เห็นไหม มันทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ มันก็มีทุกข์มาทั้งนั้นน่ะ เวลาทุกข์ของมัน ทุกข์ของมันเพราะอะไร เพราะไม่มีธรรมโอสถไง ถ้ามีธรรมโอสถ มันแสวงหามาด้วยความสุจริตของเรา แสวงหามาด้วยความเป็นธรรมของเรา สิ่งนั้นแสวงหามาแล้วก็เพื่อประโยชน์กับชีวิต รู้จักใช้สอยไหม รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ไหม รู้จักเพื่อเป็นประโยชน์ไหม
ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา นี่ประโยชน์โลกๆ เพราะเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัยแล้ว คนเกิดมามีกายกับใจๆ ไง สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน สอนเรื่องหัวใจของสัตว์โลก ให้สัตว์โลกมีหัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่มีคุณธรรม แล้วหัวใจมันอยู่ไหน ถ้าหัวใจอยู่ไหน มันมีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมาก็อยากจะมาประพฤติปฏิบัติ อยากจะมาอยู่วัดอยู่วาไง
ถ้าอยากจะมาอยู่วัดอยู่วา คนที่มาบวชพระๆ เวลาบวชพระขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตใจเข้มแข็ง หาทำเล เวลาหาทำเลๆ ขึ้นมา ทำเลของเราในป่าในเขา ทำเลของเราที่สงบสงัดไง ทำเลของการจะศึกษาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตนก็ต้องหาทำเลของตนไง ถ้าหาทำเลของตน เวลาบวชขึ้นมา เราก็หาบวชวัดที่พอสมควร ที่สะดวกสบายกับเรา ที่พออยู่ได้ไง พอสะดวกสบายกับเรา พอฝึกหัดขึ้นมา พอเข้มแข็งขึ้นมาแล้วมันจะหาสถานที่ของมันนะ สัปปายะๆ ไง สัปปายะ
เวลาทำเลของเราทำเลอย่างนั้นหรือ คนเราเกิดมา เกิดในที่ทุกข์ที่ยาก ที่อัตคัดขาดแคลน เขาก็พยายามจะหาสิ่งที่เขามีโอกาสได้แสวงหาโอกาสของเขา แล้วเราทำไมจะต้องไปหาในที่อัตคัดขาดแคลนอย่างนั้นล่ะ
ในที่อัตคัดขาดแคลนอย่างนั้นกิเลสมันจะได้ดิ้นรนไง คนเรากินอิ่มนอนอุ่นมันหมูนะ หมูตัวอ้วนๆ พอหมูตัวอ้วนๆ ขึ้นมาแล้ว ชีวิต วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ กาลเวลากัดกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ตายทั้งนั้น ถ้าตายทั้งนั้นนะ ถ้าเราเห็นสัจจะความจริงอย่างนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงมรณานุสติ คนจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจอย่างใดก็แล้วแต่ ชีวิตนี้มันต้องพลัดพรากทั้งนั้นน่ะ เวลามันพลัดพรากขึ้นมาแล้วมันจะมีสิ่งใดเป็นสมบัติเราบ้างล่ะ
สมบัติของหัวใจ บุญและบาป ดีและชั่ว นั่นน่ะเป็นสมบัติของเรา
สมบัติทางโลกก็เป็นเงินทอง เงินทองขึ้นมาเป็นกระดาษ เป็นแร่ธาตุ มันดีหรือมันชั่วล่ะ คนแสวงหามาต่างหาก ดีหรือชั่วต่างหาก คนเป็นเจ้าของมันต่างหาก แต่เงินทองมันเป็นกระดาษนะ มันเป็นวัตถุธาตุนะ แต่ในหัวใจของเราสิ
ถ้าเราเข้าใจผิด คำว่า “เข้าใจผิด” คือเห็นผิด เห็นผิด แสวงหามาสิ่งที่ผิดๆ ทีนี้ผิดขึ้นมา เห็นด้วยความพอใจๆ เพราะอะไร เพราะยังไม่มีธรรมโอสถเข้าไปคลี่คลายไง ถ้ามีธรรมโอสถเข้าไปคลี่คลาย เราไม่ควรทำอย่างนี้เลย เริ่มต้นมันคิดได้ก่อนนะ เราไม่ควรทำอย่างนี้เลย
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง คร่ำครวญร้องไห้ สิ่งนั้นไม่ดีเลย นี่ไง เวลาความเข้าใจผิด เข้าใจผิดก็ทำไปแล้วไง ทำไปด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นประโยชน์กับเราไง พอทำไปแล้ว พอมันเข้าใจได้ คร่ำครวญ เสียใจร้องไห้ นั่นน่ะบาปกรรม
ถ้าสิ่งที่มันเป็นความดีงามของเรา ความดีงามของเราดีงามในธรรม สิ่งใดที่เราช่วยเหลือเจือจานใครได้ เรามีน้ำใจต่อใคร เราทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ คนเรามันมีเวรมีกรรมต่อกันทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันมีความผูกพันต่อกันมานะ มันเห็นแล้วมันพอใจ ถ้ามันไม่มีความผูกพันกันมานะ มันเห็นแล้วมันมีแรงผลักๆ ทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เราทำที่พอใจ ถ้าสิ่งไหนที่มันพอใจ มันทำได้ มันทำของเรานะ เพื่อประโยชน์กับเรา นี่ถ้ามันทำได้
นี่ไง ถ้าทำคุณงามความดี คุณงามความดีของเรา คุณงามความดีอย่างนี้ ดีและชั่ว มันเป็นสมบัติของหัวใจๆ ไง ถ้ามันมีสติมีปัญญา มีความเชื่ออย่างนั้นขึ้นมา มันอยากจะเอาความจริงๆ หาทำเล
ทำเลอย่างนั้น ทางโลกเขา สิ่งใดที่เป็นที่อัตคัดขาดแคลน สิ่งใดที่เป็นชนบท มีแต่เราจะไปพัฒนาขึ้นมาให้มันเจริญงอกงามขึ้นมา เราจะไปจมปลักอยู่กับความยากจนอย่างนั้นหรือ แต่ถ้ามันคนที่มีสติมีปัญญาของเขา เรามองในแง่ของเศรษฐกิจไง ถ้าเรามองในแง่ของคุณธรรมสิ เขาซื่อสัตย์นะ คนป่าคนเขา เขาซื่อสัตย์ของเขา เขามีความมานะอดทนของเขา เขาทำเพื่อเลี้ยงชีพของเขา เขาเกิดมาในสถานที่อย่างนั้นไง ถ้าเขามีโอกาสของเขา เขาก็จะแสวงหาของเขา ไอ้นั่นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยในการดำรงชีพไง คุณภาพชีวิตๆ ไง แต่คุณภาพของธรรมล่ะ คุณภาพของธรรมล่ะ
คุณภาพของธรรมมันต้องอาศัยสติ สมาธิ ปัญญา ความเข้มแข็ง ความอดทน ขันติธรรมในหัวใจของตน มันจะทุกข์จะยาก พระเราหาทำเลที่ดีๆ ไปสู่ที่อัตคัดขาดแคลน ไม่มีสิ่งใดที่มันจะคาดหวังได้เลย
ถ้าเราอยู่ในที่อุดมสมบูรณ์ สบายมาก กินเมื่อไหร่ก็ได้ นอนเมื่อไหร่ก็ได้ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ไง แต่ถ้ามันอยู่ที่อัตคัดขาดแคลนก็อัตคัดขาดแคลนนั่นน่ะ เช้าบิณฑบาตไป เถียงนาเขาได้อยู่ที่นาหรือไม่ เขาได้อยู่บ้านเขาหรือไม่ ถ้าไม่มีใครอยู่เลย บ้านร้าง วันนั้นก็บิณฑบาตเปล่าๆ ๒ วัน ๓ วันก็ไม่เป็นไร ๗ วันก็ไม่เป็นไร ถ้าเราแสวงหาที่อย่างนั้น ถ้าที่นั่นเขาย้ายถิ่นไปแล้ว เราก็ธุดงค์ต่อไป เราย้ายของเราไป นี่ไง มันมีสติมีปัญญาใคร่ครวญคิดของมันได้นะ ถ้าคิดของมันได้ เราไม่ได้มาแสวงหาสิ่งนี้ เรามาแสวงหาหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเราที่มันทำได้ มันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันก็คิดได้ไง
ถ้ามันไม่มีสติไม่มีปัญญาขึ้นมา “ทำคุณงามความดีก็เท่านี้ ทำคุณงามความดีก็เท่านี้ ไม่มีใครส่งเสริมเลย พระพุทธศาสนาจะเรียวแหลมแล้วแหละ มันจะไม่มีคนสืบทอดแล้วแหละ” นี่เวลากิเลสมันยุแหย่นะ “จะไม่มีใครสืบทอดศาสนาแล้วแหละ ไม่มีใครส่งเสริม ไม่มีใครดูแลเลย”
ดูแลอะไร ใจเอ็ง เอ็งยังไม่ดูแลเอ็งเลย เอ็งยังไม่เข้าใจหัวใจของเอ็งเลย ใครจะมาช่วยดูแลให้ ถ้าเราช่วยดูแลให้ เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราก็ธุดงค์ไป เราก็เคลื่อนย้ายไป เราแสวงหาของเราไปนะ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านอย่างนั้นมา จิตใจท่านเข้มแข็ง จิตใจท่านมีคุณธรรมขึ้นมาในใจ เวลามันเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันปกติ มันสงบระงับของมันนะ เวลามันเกิดสมาธิขึ้นมา อ๋อ! พุทธะเป็นอย่างนี้เอง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาจิตสงบเข้ามา นั่นน่ะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือพุทธะ
เวลาเราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่เลย เราได้สัมผัสนะ เราได้สัมผัส เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คำว่า “ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” รู้จำเพาะตน รู้จำเพาะในหัวใจ รู้จำเพาะในใจของเรา
แต่โดยธรรมชาตินะ อู้ฮู! เรามีสติมีปัญญา เราแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย เรามีโครงการ อู๋ย! ร้อยแปด อย่างนั้นเป็นสติปัญญาหรือ นั่นน่ะคืออาชีพ
คิดงาน คิดธรรม เราคิดเป็นธรรม เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คือความคิดเหมือนกัน คิดธรรม คิดธรรมจนมันวางธรรม วางธรรม จิตเป็นอิสระ พอจิตเป็นอิสระ นั่นน่ะพุทธะ เวลาเห็นพุทธะขึ้นมามันมีคุณค่าอย่างนี้ไง สิ่งที่ว่าคนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ใจมีคุณค่าอย่างนี้ไง แต่คนแสวงหาใจนี้ไม่เจอไง
คนที่แสวงหาใจไม่เจอ ดูสิ ปัจจัยเครื่องอาศัย เราไปห้างสรรพสินค้า เราไปตลาด มันมีขายอยู่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ไหนมีขาย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ไหนมีใครยื่นให้ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ไหน พ่อแม่อยากให้ใจจะขาด พ่อแม่อยากให้ลูกฉลาด พ่อแม่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ พ่อแม่อยากให้เต็มที่เลย พ่อแม่ก็แค่ให้การศึกษา ให้โอกาส เขาต้องขวนขวายของเขาเอง พ่อแม่ก็ส่งเสริมเต็มที่ แล้วพ่อแม่ให้ได้ไหม
แต่ถ้ามันเป็นจริงมันต้องขวนขวายขึ้นมา มันต้องมีการกระทำขึ้นมา ถ้ากระทำขึ้นมา นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกขึ้นมา มันเป็นความจริงๆ ในหัวใจนี้ไง ถ้าเป็นความจริงในหัวใจนี้ เราปฏิบัติ นี่การปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติขึ้นมาจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อฆ่ากิเลสไง
ตัณหาความทะยานอยากในใจของเรามันล้นฝั่ง มันปิดหูปิดตาจนใจของตนก็ไม่เคยเห็นมัน ใจของตนแท้ๆ นะ สมบัติของเราเองนะ หัวใจคือธาตุรู้ในชีวิตของเราเองนะ เรายังไม่เห็นชีวิตของเราเป็นอย่างไรเลย เรายังไม่เห็นตัวเราเองเลย ไปวัดไปวาก็ให้พระบอก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามา ทุกคนไม่เคยเห็น ทุกคนไม่เคยได้สัมผัส ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเรา ทั้งๆ ที่มันอยู่ในใจนี้ แต่เวลาพุทโธๆ แหวกจอกแหนๆ แหวกจอกแหนมันก็มีน้ำไง ถ้าไม่มีน้ำ จอกแหนมันเกิดไม่ได้หรอก มันตายแล้ว
จอกแหนมันจะเกิดได้ในแหล่งน้ำ แต่มันไม่เห็นน้ำเลย เพราะจอกแหนมันบัง มันปกปิดหมด นี่ไง ถ้าความที่จะเกิดได้ต้องมีน้ำ ต้องมีพุทธะ ต้องมีชีวิต ไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตเกิดไม่ได้ แต่ถ้าเกิดได้ๆ เราก็มีแต่จอกแหนไง เราไม่เคยเห็นน้ำนั้นไง เราถึงไม่รู้จักใจของเราไง
พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง พระกรรมฐาน พระปฏิบัติเขาก็สอนอย่างนี้ เขาสอนอย่างนี้ให้ทุกคนฉลาดไง ให้ทุกคนได้เห็นหัวใจของตนไง ให้ทุกคนได้ชุ่มชื่นขึ้นมาไง ให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมาไง ให้ทุกคนไม่เป็นเหยื่อกับกิเลสไง นี่ถ้ามันทำได้ๆ
ถ้ามันทำได้ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ธรรมโอสถๆ ก็เพื่อหัวใจของเราไง หัวใจของเรา ปลุกให้มันตื่นขึ้นมา ปลุกหัวใจนี้ให้มันตื่นขึ้นมา ถ้ามันตื่นขึ้นมา นี่สมบัติของเราๆ
แล้วพอสมบัติของเรา สมบัติที่เราหามาเพราะมันมีชีวิตนะ ถ้าเราต้องพลัดพรากไปแล้วนะ สมบัติก็กองอยู่นี่แหละ สรรพสิ่งในโลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเรา ถ้าเราผ่านไปแล้ว สมบัติมันก็กองอยู่นี่แหละ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มีชีวิตมันมีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ ถ้ามีคุณค่าอย่างนี้ปั๊บ ถ้าไปเจอในปัจจุบัน เห็นจิตของตน ได้เป็นสัมมาสมาธิ ได้เห็นพุทธะนะ แล้วพุทธะนั้นเราฝึกหัดของเราเป็นปัญญาของเรา เป็นวิปัสสนา เป็นความรู้แจ้งในใจของเรา ถ้าเป็นความรู้แจ้งในใจของเรา เป็นสมบัติของเราๆ สมบัติของเราที่เราฝึกขึ้นมา ที่พ่อแม่ปรารถนาให้ลูกทุกคนฉลาดไง แต่เราเวลาฉลาด ฉลาดขึ้นมาด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นในการกระทำนี้ไง นี่ธรรมโอสถ ทำเพื่อเราๆ นะ ถ้าทำเพื่อเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตนี้
เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสุดยอด เยี่ยมยอดมาก เพียงแต่พวกเราเข้าไม่ถึง พวกเราไม่เคยพบเคยเห็น เห็นแต่ศาสนบุคคล ศาสนบุคคลที่เข้ามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระ บวชเป็นชี เขาดำรงชีพของเขา เราแค่เห็นบุคคลเท่านั้นเอง แล้วบุคคลทำดีทำชั่ว เราก็ไปติไปเตียนที่บุคคลนั้น เราถึงไม่เห็นธรรมะไง เราถึงไม่เห็นสัจธรรมไง
เรามองผ่านบุคคลเข้าไป เข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น ถ้าเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจของเรา เอวัง